เบื่อไหมกับการจ้องหน้าจอจนตาพร่ามัว มองอะไรก็เบลอ รู้สึกไหมว่าสายตาเริ่มไม่ดี โลกสดใสไม่เหมือนเดิม อยากบอกลาแว่นหนาเตอะ กลับมาสายตาดี๊ดีอีกครั้ง? ถ้าใช่! เตรียมตัวให้พร้อม เพราะวันนี้เราจะพาไปบุกโลกอาหาร ที่จะช่วยบำรุงสายตาให้กลับมาสดใส เปล่งประกาย เตรียมท้องให้พร้อม แล้วไปลุยกันเลย!
คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับสายตา
- ดวงตาสดใส ไร้กังวล กินอะไรดี?
- เคล็ดลับกินอาหาร บำรุงสายตา คมชัดทุกรายละเอียด
- 5 อาหารสุดยอด บำรุงสายตา ป้องกันโรคตา
- กินอะไร สายตาดี๊ดี บอกลาแว่นตา
- สูตรลับ บำรุงสายตา กินง่าย เห็นผลจริง
- สายตาอ่อนล้า ตาแห้ง กินอะไรดี?
- บำรุงสายตาแบบธรรมชาติ ด้วยอาหารใกล้ตัว
- 5 ผักผลไม้ บำรุงสายตา ทานง่าย ดีต่อดวงตา
- 10 เมนูเด็ด บำรุงสายตา อร่อย ดีต่อสุขภาพ
- ดูแลดวงตาให้สดใส ด้วยอาหารบำรุงสายตา
ในยุคปัจจุบัน การใช้สายตามากเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาต่างๆ เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง และจอประสาทตาเสื่อม หลายคนต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์
แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารบางชนิดสามารถช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตา และชะลอความเสื่อมของดวงตาได้มาดูกันเลย ว่ามีอาหารอะไรบ้างที่ช่วยบำรุงสายตาให้กลับมาสดใส เปล่งประกาย
การบำรุงสายตา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเราควรกินอะไรดี?
ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ
ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างถูกต้องและมีสุขภาพที่ดี วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่สำคัญหลายประการ ดังนี้
- บำรุงสายตา: วิตามินเอเป็นส่วนประกอบสำคัญของ rhodopsin โปรตีนที่ช่วยให้เรามองเห็นแสงในที่แสงน้อย การขาดวิตามินเออาจทำให้เกิดภาวะตาบอดตอนกลางคืน และอาจนำไปสู่ปัญหาสายตาอื่นๆ เช่น ต้อกระจก
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินเอช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นด่านแรกของร่างกายในการต่อสู้กับการติดเชื้อ
- บำรุงผิวหนัง: วิตามินเอช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น เรียบเนียน และลดการเกิดสิว
- ป้องกันมะเร็ง: วิตามินเอมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่อาจนำไปสู่มะเร็ง
- พัฒนาการของทารกในครรภ์: วิตามินเอมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
ตัวอย่างผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง:
ผัก: แครอท ตำลึง ฟักทอง ผักโขม บัวบก ตะไคร้ มะระขี้นก
ผลไม้: มะม่วง มะละกอ ส้ม ฝรั่ง แตงโม
ปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายต้องการ:
เด็ก: 400-600 ไมโครกรัมต่อวัน
ผู้ใหญ่: 700-900 ไมโครกรัมต่อวัน
หญิงตั้งครรภ์: 750 ไมโครกรัมต่อวัน
หญิงให้นมบุตร: 1,200 ไมโครกรัมต่อวัน
ข้อควรระวัง:
ไม่ควรรับประทานวิตามินเอในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และผมร่วง
สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินเอเสริม
ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซี
ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างถูกต้องและมีสุขภาพที่ดี วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีหน้าที่สำคัญหลายประการ ดังนี้
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นด่านแรกของร่างกายในการต่อสู้กับการติดเชื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระ: วิตามินซีช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรค Alzheimer
- บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น เรียบเนียน และลดการเกิดริ้วรอย
- ช่วยให้แผลหายเร็ว: วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก: วิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร ซึ่งธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน โปรตีนที่นำพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
ตัวอย่างผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง:
ผัก: พริกหวาน บร็อคโคลี ผักคะน้า ผักปวยเล้ง มะเขือเทศ มะระ ฝรั่ง
ผลไม้: กีวี ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สตรอเบอร์รี่ เงาะ มะขามป้อม
ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการ:
เด็ก: 40-80 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ใหญ่: 90-120 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงตั้งครรภ์: 85-120 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงให้นมบุตร: 115-120 มิลลิกรัมต่อวัน
ข้อควรระวัง:
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้ จึงควรได้รับวิตามินซีอย่างสม่ำเสมอ
การรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ และอาเจียน
ผู้ที่มีภาวะนิ่วในไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินซีเสริม
ผักและผลไม้ที่มีลูทีนและซีแซนทีน
ผักและผลไม้ที่มีลูทีนและซีแซนทีน เป็นแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งที่พบในพืช มีหน้าที่หลักคือ กรองแสงสีฟ้าจากแสงแดด ป้องกันดวงตาจากแสงยูวี และต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ดวงตาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับดวงตา ดังนี้
- ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม: ลูทีนและซีแซนทีนจะสะสมอยู่ที่จุดรับภาพบนจอประสาทตา ช่วยกรองแสงสีฟ้า ป้องกันเซลล์จากแสงยูวี ชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา
- ลดความเสี่ยงของต้อกระจก: ลูทีนและซีแซนทีน ช่วยป้องกันเลนส์ตาจากแสงยูวี ชะลอการเกิดต้อกระจก
- บำรุงสายตา: ลูทีนและซีแซนทีน ช่วยให้มองเห็นในที่แสงน้อย ปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่าง ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน
- ป้องกันจอประสาทตาเสื่อมจากวัย: ลูทีนและซีแซนทีน ช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดขึ้นตามอายุ
ตัวอย่างผักและผลไม้ที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง:
ผัก: ผักโขม ผักคะน้า ผักบุ้ง คะน้าฮ่องกง ตำลึง บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี
ผลไม้: ข้าวโพดหวาน มะละกอ ส้ม ไข่แดง อะโวคาโด
ปริมาณลูทีนและซีแซนทีนที่ร่างกายต้องการ:
ยังไม่มีการกำหนดปริมาณที่แนะนำต่อวัน แต่การรับประทานผักและผลไม้ที่มีลูทีนและซีแซนทีนเป็นประจำ จะช่วยให้ได้รับสารอาหารเหล่านี้เพียงพอ
ข้อควรระวัง:
ลูทีนและซีแซนทีนเป็นสารอาหารที่ละลายในไขมัน ควรทานคู่กับไขมันเพื่อเพิ่มการดูดซึม
การทานลูทีนและซีแซนทีนในปริมาณมาก ไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย
นอกจากการรับประทานผักและผลไม้แล้ว ยังสามารถรับลูทีนและซีแซนทีนจากอาหารเสริมได้อีกด้วย
ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3
ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ดังนี้
- บำรุงสมองและระบบประสาท: กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยพัฒนาการของสมองและระบบประสาท กระตุ้นความจำ ความคิด และการเรียนรู้
- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด: กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มระดับ HDL (ไขมันดี) และลดความดันโลหิต ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ลดการอักเสบ: กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคมะเร็ง และโรคอัลไซเมอร์
- บำรุงสายตา: กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม และช่วยให้มองเห็นในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น
- บำรุงผิวพรรณ: กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน และลดการเกิดสิว
ตัวอย่างปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง:
ปลาทะเลน้ำเย็น: ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน
ปลาทะเลน้ำไทย: ปลาอินทรีย์ ปลากระพงขาว ปลากระพงแดง ปลาสวาย ปลาทู
ปลาในน้ำจืด: ปลานิล ปลาช่อน ปลาทับทิม ปลาดุก
ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ร่างกายต้องการ:
เด็ก: 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ใหญ่: 250-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงตั้งครรภ์: 300 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงให้นมบุตร: 350 มิลลิกรัมต่อวัน
ข้อควรระวัง:
ปลาบางชนิดมีสารปรอทสะสม ควรเลือกทานปลาที่มีขนาดเล็ก ปลาที่เลี้ยงในระบบปิด หรือปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย
การทานกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณมาก อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ และอาเจียน
นอกจากการทานปลาแล้ว ยังสามารถรับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากอาหารเสริมได้อีกด้วย
ไข่
ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญมากมาย ประโยชน์ของไข่มีดังนี้
- แหล่งโปรตีนชั้นดี: ไข่ 1 ฟอง มีโปรตีนประมาณ 6 กรัม ซึ่งเป็นโปรตีนคุณภาพสูง มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดี เหมาะสำหรับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และพัฒนาการของเด็ก
- บำรุงสมอง: ไข่มีวิตามินบี12 โคลีน และเลซิติน ซึ่งช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ พัฒนาการของทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
- บำรุงสายตา: ไข่มีวิตามินเอ ลูทีน และซีแซนทีน ซึ่งช่วยบำรุงสายตา ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม และลดความเสี่ยงของต้อกระจก
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: ไข่มีวิตามินเอ ดี และอี ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคติดเชื้อ
- ช่วยลดน้ำหนัก: ไข่มีโปรตีนสูง ช่วยให้อิ่มนาน ควบคุมความหิว และช่วยลดน้ำหนัก
- บำรุงผิวพรรณ: ไข่มีวิตามินเอ อี และไบโอติน ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย
- บำรุงกระดูก: ไข่มีวิตามินดี แคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ดีต่อสุขภาพของหัวใจ: ไข่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ ไขมันไม่อิ่มตัวสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันไตรกลีเซอไรด์ ดีต่อสุขภาพของหัวใจ
อย่างไรก็ตาม การรับประทานไข่ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
เด็ก: 1-2 ฟองต่อวัน
ผู้ใหญ่: 2-3 ฟองต่อวัน
ผู้สูงอายุ: 1-2 ฟองต่อวัน
ควรเลือกทานไข่ที่ปรุงสุก เช่น ไข่ต้ม ไข่ลวก ไข่ตุ๋น หลีกเลี่ยงการทานไข่ดิบ เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน
ถั่ว
ถั่วเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ประโยชน์ของถั่วมีดังนี้
- แหล่งโปรตีนชั้นดี: ถั่วมีโปรตีนสูง เหมาะสำหรับผู้ทานมังสวิรัติ หรือต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และพัฒนาการของเด็ก
- บำรุงหัวใจ: ถั่วมีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันไตรกลีเซอไรด์ ดีต่อสุขภาพของหัวใจ
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ถั่วมีใยอาหารสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นเร็ว เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- บำรุงระบบขับถ่าย: ถั่วมีใยอาหารสูง ช่วยเพิ่มกากใยในอาหาร ป้องกันท้องผูก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
- ลดความเสี่ยงมะเร็ง: ถั่วมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
- บำรุงกระดูก: ถั่วมีแคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- บำรุงสมอง: ถั่วมีวิตามินบี ธาตุเหล็ก สังกะสี และโฟเลต ช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ พัฒนาการของทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
- บำรุงผิวพรรณ: ถั่วมีวิตามินอี ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย
อย่างไรก็ตาม การรับประทานถั่วควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
เด็ก: 1-2 กำมือต่อวัน
ผู้ใหญ่: 2-3 กำมือต่อวัน
ผู้สูงอายุ: 1-2 กำมือต่อวัน
ควรเลือกทานถั่วที่ผ่านความร้อน เช่น ถั่วต้ม ถั่วอบ หลีกเลี่ยงการทานถั่วดิบ เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน
ถั่วเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ควรทานถั่วเป็นประจำควบคู่กับอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพที่ดี
ตัวอย่างถั่วที่มีประโยชน์
ถั่วเหลือง
ถั่วลิสง
ถั่ว almond
ถั่วแปะยี
ถั่วเขียว
ถั่วดำ
ถั่วแดง
ถั่ว kidney
ถั่วลันเตา
ถั่วลูกไก่
นอกจากนี้ ยังมีถั่วชนิดอื่นๆ อีกมากมายที่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ธัญพืช
ธัญพืชเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ประโยชน์ของธัญพืชมีดังนี้
- แหล่งพลังงาน: ธัญพืชเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- บำรุงระบบขับถ่าย: ธัญพืชมีใยอาหารสูง ช่วยเพิ่มกากใยในอาหาร ป้องกันท้องผูก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
- ลดความเสี่ยงมะเร็ง: ธัญพืชมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
- บำรุงหัวใจ: ธัญพืชมีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันไตรกลีเซอไรด์ ดีต่อสุขภาพของหัวใจ
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ธัญพืชมีใยอาหารสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นเร็ว เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- บำรุงกระดูก: ธัญพืชมีแคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- บำรุงสมอง: ธัญพืชมีวิตามินบี ธาตุเหล็ก สังกะสี และโฟเลต ช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ พัฒนาการของทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
- บำรุงผิวพรรณ: ธัญพืชมีวิตามินอี ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย
ตัวอย่างธัญพืชที่มีประโยชน์
ข้าวกล้อง
ข้าวโอ๊ต
ข้าวโพด
ข้าวฟ่าง
ข้าวไรซ์เบอร์รี่
ข้าวบาร์เลย์
ถั่ว
งา
เมล็ดทานตะวัน
เมล็ดฟักทอง
นอกจากนี้ ยังมีธัญพืชชนิดอื่นๆ อีกมากมายที่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย การรับประทานธัญพืช ควรเลือกทานธัญพืชไม่ขัดสี เพราะมีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุมากกว่าธัญพืชขัดสี
น้ำเปล่า
น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายมากที่สุด ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของน้ำเปล่ามีดังนี้
- ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น: น้ำเปล่าช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ: น้ำเปล่าช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ป้องกันท้องผูก
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย: น้ำเปล่าช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ป้องกันอุณหภูมิร่างกายสูง
- ช่วยหล่อลื่นข้อต่อ: น้ำเปล่าช่วยหล่อลื่นข้อต่อ ช่วยให้เคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก
- ช่วยลดน้ำหนัก: น้ำเปล่าช่วยให้อิ่ม ช่วยลดความอยากอาหาร
- บำรุงผิวพรรณ: น้ำเปล่าช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน
- บำรุงสมอง: น้ำเปล่าช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร: น้ำเปล่าช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารจากอาหาร
- ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน: น้ำเปล่าช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ: น้ำเปล่าช่วยลดความเสี่ยงของโรคนิ่วในไต โรคทางเดินปัสสาวะ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวาน
การดื่มน้ำเปล่า
ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยทั่วไปควรดื่มวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร
ควรดื่มน้ำเปล่าก่อนนอน ตื่นนอน และระหว่างวัน
ควรดื่มน้ำเปล่าหลังออกกำลังกาย
ควรเลือกดื่มน้ำเปล่าสะอาด ปราศจากเชื้อโรค
น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ตัวอย่างเมนูบำรุงสายตา
ยำแครอท
แครอทอุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับน้ำยำรสเปรี้ยวหวาน อร่อย ทานง่าย
แกงจืดเต้าหู้ผักโขม
ผักโขมมีลูทีนและซีแซนทีน ที่ช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ทานคู่กับเต้าหู้ โปรตีนดี ย่อยง่าย
ส้มตำข้าวโพด
ข้าวโพดมีวิตามินเอและลูทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับส้มตำรสแซ่บ อร่อย ทานเพลิน
ปลานึ่งซีอิ๊ว
ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงสายตา นึ่งซีอิ๊วรสชาติกลมกล่อม ดีต่อสุขภาพ
ไข่เจียวดอกขจร
ไข่มีวิตามินเอ วิตามินอี ลูทีน และซีแซนทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับดอกขจร ผักที่มีประโยชน์ อร่อย ทานง่าย
ต้มยำกุ้งใส่เห็ด
เห็ดมีเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ต้มยำกุ้งรสชาติจัดจ้าน อร่อย ทานเพลิน
ยำมะม่วงอกร่อง
มะม่วงอกร่องมีวิตามินเอ วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับน้ำยำรสเปรี้ยวหวาน อร่อย ทานง่าย
แกงเลียงกุ้งสด
ผักใบเขียวในแกงเลียง เช่น ผักบุ้ง คะน้า มีลูทีนและซีแซนทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับกุ้งสด โปรตีนดี ย่อยง่าย
ลาบไก่ใส่ผัก
ผักในลาบไก่ เช่น ผักชีฝรั่ง ต้นหอม มีวิตามินซี ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับลาบไก่รสชาติจัดจ้าน อร่อย ทานเพลิน
ข้าวผัดแครอท
แครอทอุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา ทานคู่กับข้าวผัดรสชาติกลมกล่อม อร่อย ทานง่าย
ลองทานอาหารเหล่านี้ ช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น นอกจากการทานอาหาร ควรพักสายตาเป็นประจำ ทุกๆ 20 นาที ปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสม สวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำการบำรุงสายตา เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดวงตาของเราใช้งานได้ยาวนาน และมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน อย่าลืมดูแลดวงตาของตัวเองดีดีกันน่ะครับ