Search
Close this search box.
สิวมีกี่ประเภท วิธีรักษา

สิวหนุ่ม สิวสาว ปัญหาโลกแตก! สิวมีกี่ประเภท วิธีรักษาให้หายขาด

ภาพรวมเนื้อหา

เบื่อไหม? กับหน้าสิว อยากมีหน้าใสไร้สิว แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ในบทความนี้ “สิวหนุ่ม สิวสาว ปัญหาโลกแตก! สิวมีกี่ประเภท วิธีรักษาให้หายขาด” เราจะพาไปรู้จักกับสิวประเภทต่างๆ พร้อมวิธีรักษาให้หายขาด หมดกังวลเรื่องสิวไปได้เลย!

สิว คืออะไร?

สิว (Acne Vulgaris) คือชื่อทางการแพทย์ของสิวทั่วไป ซึ่งเป็นการมีสิวหัวดำ สิวหัวขาว และสิวประเภทอื่นๆ ปรากฏบนผิวหนัง บริเวณที่เป็นสิวได้บ่อย ได้แก่ ใบหน้า หน้าอก ไหล่ และ หลัง แม้ว่าสิวชนิดอ่อน สามารถรักษาด้วยยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยา แต่สิวชนิดรุนแรง ควรได้รับการรักษาจากแพทย์ผิวหนัง

สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยมากที่สุด! ประมาณการว่า 80% ของคนวัยระหว่าง 11 ถึง 30 ปี จะมีสิวขึ้นอย่างน้อยก็ในระดับเบาๆ ดังนั้น ถ้าคุณเป็นสิว ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณไม่ได้เป็นคนเดียว เกิดจากรูขุมขนบนผิวหนังอุดตัน สิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนเหล่านี้ จะกลายเป็นสิวหัวดำ สิวหัวขาว และสิวประเภทอื่นๆ สิว คือ ตุ่มนูนที่อาจมีหรือไม่มีหนองอยู่ด้านใน และอาจสร้างความเจ็บปวด

สิวมีกี่ประเภท?

สิวมีหลายประเภท ดังนี้:

สิวเชื้อรา: เกิดจากการสะสมของเชื้อราในรูขุมขน อาจทำให้คันและแดง
สิวซีสต์: สิวอักเสบขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มักมีหนองอยู่ด้านใน อาจทิ้งรอยแผลเป็น
สิวฮอร์โมน: พบในผู้ใหญ่ที่มีการผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากเกินไป ส่งผลให้รูขุมขนอุดตัน
สิวหัวนูนแข็ง: เป็นสิวชนิดรุนแรง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งใต้ผิวหนัง อาจทิ้งรอยแผลเป็น

สิวทุกชนิดสามารถส่งผลต่อความมั่นใจ โดยเฉพาะสิวซีสต์และสิวหัวนูนแข็ง อาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวร ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

สิว เป็นปัญหาผิวที่ใครๆ ก็เป็นได้ แม้สิวจะพบบ่อยในช่วงวัยรุ่นและวัยรุ่นตอนปลาย เนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ สิวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ที่เกิดเป็นเพศหญิง (AFAB) มีแนวโน้มเป็นสิวในวัยผู้ใหญ่มากกว่า นอกจากนี้ ความเสี่ยงในการเป็นสิวยังขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสิว คุณก็มีโอกาสเป็นสิวได้เช่นกัน

สิวสามารถขึ้นได้เกือบทุกบริเวณของร่างกายที่มีต่อมน้ำมัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมน้ำมันมาก สิวจะพบได้บ่อยที่

  • ใบหน้า: เป็นบริเวณที่พบสิวได้มากที่สุด
  • หน้าผาก:
  • หน้าอก:
  • ไหล่:
  • หลังส่วนบน:
Acne Types Treatments สิวหนุ่ม สิวสาว ปัญหาโลกแตก! สิวมีกี่ประเภท วิธีรักษาให้หายขาด
Image by Freepik

อาการและสาเหตุ

สิวมีอาการอย่างไร?

สิวสามารถแสดงอาการบนผิวหนังได้ดังนี้:

  • สิวอักเสบ (Pustules): ตุ่มหนอง (ลักษณะคล้ายตุ่มนูนแดง แต่มีหนองอยู่ด้านใน)
  • สิวตุ่มนูนแดง (Papules): ตุ่มนูนเล็กๆ สีแดงหรือม่วง มักมีสีเข้มกว่าสีผิวปกติ
  • สิวหัวดำ (Blackheads): รูขุมขนอุดตันที่มีจุดดำด้านบน
  • สิวหัวขาว (Whiteheads): รูขุมขนอุดตันที่มีจุดขาวด้านบน
  • สิวหัวนูนแข็ง (Nodules): ก้อนแข็งขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มักก่อความเจ็บปวด
  • สิวซีสต์ (Cysts): ก้อนขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง บรรจุน้ำเหลือง (ลักษณะคล้ายหนอง) มักก่อความเจ็บปวด

สิวอาจมีตั้งแต่แบบรุนแรงน้อย มีสิวอักเสบเพียงไม่กี่เม็ด ไปจนถึงแบบปานกลาง มีสิวตุ่มนูนแดงจำนวนมาก และแบบรุนแรง มีทั้งสิวหัวนูนแข็งและสิวซีสต์

สาเหตุของสิว

สิวเกิดจากรูขุมขนหรือรูของต่อมขน (Hair Follicles) อุดตัน ต่อมขนเป็นรูเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ยึดเส้นผมเอาไว้ โดยมีต่อมไขมันหลายชนิดอยู่ภายใน เมื่อมีสิ่งต่างๆ สะสมอยู่ภายในต่อมขนมากเกินไป ก็จะเกิดการอุดตัน

สิ่งที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ได้แก่:

  • ไขมัน: สารชนิดน้ำมัน ทำหน้าที่ปกป้องผิวหนัง
  • แบคทีเรีย: โดยปกติจะมีแบคทีเรียเล็กน้อยอาศัยอยู่บนผิวหนัง แต่หากมีมากเกินไป ก็จะไปอุดตันรูขุมขนได้
  • เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว: เซลล์ผิวหนังมีการผลัดเซลล์อยู่เสมอ เพื่อเปิดทางให้เซลล์ผิวใหม่เจริญเติบโต เมื่อเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดร่วงออกมา อาจติดค้างอยู่ภายในต่อมขนได้

เมื่อรูขุมขนอุดตัน สิ่งสกปรกต่างๆ จะไปอุดตันรูของต่อมขน ก่อให้เกิดเป็นสิว นอกจากนี้ การอุดตันของรูขุมขนยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้รู้สึกเจ็บ และมีอาการบวม สังเกตได้จากรอยแดงรอบๆ สิว

ปัจจัยกระตุ้นสิว

สิวสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยต่างๆ ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ปัจจัยเหล่านี้ยังอาจส่งผลให้สิวที่มีอยู่เดิม ลุกลามมากขึ้น ได้แก่:

  • การสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูป หรือเครื่องประดับศีรษะที่รัดแน่น เช่น หมวก หรือหมวกกันน็อค
  • มลภาวะทางอากาศ และสภาพอากาศบางประเภท โดยเฉพาะอากาศที่มีความชื้นสูง
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือไขมัน เช่น โลชั่นเนื้อหนัก ครีม รวมถึงการทำงานในสถานที่ที่ต้องสัมผัสกับไขมันเป็นประจำ เช่น ร้านอาหารที่ใช้น้ำมันทอดอาหาร
  • ความเครียด ส่งผลต่อการเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล
  • ผลข้างเคียงของยา บางชนิด
  • การแกะ หรือ การบีบสิว

อาหารกับสิว

มีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ว่าอาหารบางชนิดและรูปแบบการกินอาจส่งผลต่อสิว ได้แก่:

  • นมพร่องมันเนย
  • เวย์โปรตีน
  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง

แม้ว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจส่งผลต่อการเกิดสิว แต่ ช็อกโกแลต ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสิวโดยตรง

เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดสิว ควรเลือกทานอาหารที่สมดุล มีคุณค่าทางโภชนาการ เน้นบริโภคผลไม้สด ผักสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักและผลไม้ที่มีวิตามินซี เบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งมีส่วนช่วยลดการอักเสบ

ฮอร์โมนกับสิว

สิว สัมพันธ์กับฮอร์โมน โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen Hormones) เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งมักจะเริ่มส่งผลต่อร่างกายในช่วงวัยรุ่นและวัยรุ่นตอนปลาย นอกจากนี้ คุณผู้หญิงอาจสังเกตเห็นว่าสิวขึ้น ช่วงรอบเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

การตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชาย ร่วมกับแบคทีเรียบนผิวหนัง และสารที่ถูกปล่อยออกมาจากต่อมต่างๆ ส่งผลให้เกิดสิวได้

ความรุนแรงของสิว

แพทย์ผิวหนังจะพิจารณาความรุนแรงของสิวโดยแบ่งเป็นเกณฑ์ดังนี้:

  • ระดับ 1 (รุนแรงน้อย): มีสิวหัวขาว สิวหัวดำเป็นหลัก อาจมีสิวตุ่มนูนแดงและสิวอักเสบเล็กน้อย
  • ระดับ 2 (ปานกลาง หรือ สิวอักเสบ): มีสิวตุ่มนูนแดงและสิวอักเสบจำนวนมาก โดยทั่วไปจะขึ้นบริเวณใบหน้า
  • ระดับ 3 (ปานกลางค่อนข้างรุนแรง หรือ สิวหัวนูน / สิวซีสต์): มีสิวตุ่มนูนแดง สิวอักเสบจำนวนมาก อาจมีสิวหัวนูนแข็งที่อักเสบเป็นบางครั้ง สิวอาจขึ้นบริเวณหลัง หน้าอกร่วมด้วย
  • ระดับ 4 (รุนแรง หรือ สิวหัวนูน / สิวซีสต์อักเสบ): มีสิวหัวนูนแข็ง สิวซีสต์ขนาดใหญ่ จำนวนมาก มักก่อความเจ็บปวดและอักเสบ

การจัดการและการรักษาสิว

สิวสามารถรักษาได้หลายวิธี โดยวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ชนิดของสิว และความรุนแรง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ใช้ยา ยาทา หรือการทำทรีทเม้นท์เพื่อรักษาสิว

เป้าหมายของการรักษาสิว คือ ยับยั้งการเกิดสิวใหม่ และฟื้นฟูรอยสิวที่มีอยู่บนผิวหนัง

ยาทาสำหรับรักษาสิว

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ใช้ยาทาชนิดต่างๆ เพื่อทาบริเวณผิวที่เป็นสิว โดยยาทาเหล่านี้มีลักษณะเป็นโลชั่น หรือ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ดังนี้

  • เบนโซเปโรไซด์ (Benzoyl peroxide): เป็นยาทาที่หาซื้อได้เองโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ (ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ Clearasil®, Stridex® และ PanOxyl®) มีรูปแบบเป็นเจล หรือ เป็นยาล้างหน้า ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวอักเสบ เบนโซเปโรไซด์สูตรที่มีความเข้มข้นต่ำ และ สูตรล้างหน้า จะมีฤทธิ์อ่อนโยนต่อผิวมากกว่า
  • ซาลิไซลิก เอซิด (Salicylic acid): เป็นยาทาที่หาซื้อได้เองโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ มีรูปแบบเป็นคลีนเซอร์ หรือ โลชั่น ช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นบน ลดการอุดตันของรูขุมขน โดยละลายเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • กรดอะเซลาอิค (Azelaic acid): เป็นกรดธรรมชาติที่พบในธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาล และ ข้าวไรย์ ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ
  • เรตินอยด์ (Retinoids – อนุพันธ์ของวิตามินเอ): เรตินอล เช่น Retin-A®, Tazorac® และ Differin® (Differin® หาซื้อได้เองโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์) มีคุณสมบัติในการลดสิวหัวดำ สิวหัวขาว และช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มแรกของการเกิดสิว เรตินอยด์เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวเกือบทุกประเภท โดยยาทาประเภทนี้ ไม่ใช่ยาทาเฉพาะจุด แต่ต้องทายาทั่วบริเวณที่เป็นสิว เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ ผู้ที่ใช้ยานี้อาจต้องใช้เป็นเวลาหลายเดือน จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ยาทาปฏิชีวนะ เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) และ อีริโทรมัยซิน (Erythromycin) ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวอักเสบ ยาปฏิชีวนะจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับเบนโซเปโรไซด์
  • แดปโซน (Dapsone): แดปโซน (Aczone®) เป็นยาทาชนิดเจล มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาสิวอักเสบ

ยารับประทานสำหรับรักษาสิว

ยารับประทานสำหรับรักษาสิว เป็นยาเม็ดที่ใช้รักษาสิวจากภายใน โดยยารับประทานรักษาสิวมีดังนี้

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์รักษาสิวที่เกิดจากแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้รักษาสิว ได้แก่ เตตร้าซัยคลีน (Tetracycline) มินocycline (Minocycline) และ ด็อกซีไซคลีน (Doxycycline) ยาเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวระดับปานกลาง ถึง รุนแรง
  • ไอโซทรีติโนอิน (Isotretinoin – Amnesteem®, Claravis® และ Sotret®): ไอโซทรีติโนอิน เป็นเรตินอยด์ชนิดรับประทาน ออกฤทธิ์ลดขนาดต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
  • ยาคุมกำเนิด (Contraceptives): ยาคุมกำเนิดบางชนิด อาจช่วยรักษาสิวในผู้หญิง และ ผู้ที่เกิดเป็นเพศหญิง (AFAB) ได้ โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration – FDA) อนุมัติยาคุมกำเนิดหลายชนิด ให้ใช้รักษาสิว ตัวอย่างเช่น Estrostep®, Beyaz®, Ortho Tri-Cyclen® และ Yaz® ยาเหล่านี้ มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิงหลัก) และ โปรเจสเทอโรน (ฮอร์โมนสเตรียรอยด์ธรรมชาติ มีหน้าที่ควบคุมประจำเดือน)
  • ฮอร์โมนบำบัด (Hormone therapy): ฮอร์โมนบำบัดเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการสิวเห่อ หรือ ประจำเดือนไม่ปกติ อันเนื่องมาจากฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) ที่มีมากเกินไป ฮอร์โมนบำบัด คือ การใช้ยาที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจน และ โปรเจสเทอโรน ในปริมาณต่ำ (ยาคุมกำเนิด) หรือ สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งผลของฮอร์โมนบางชนิด บริเวณต่อมขน และ ต่อมไขมัน

หมายเหตุ ยาเหล่านี้ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

วิธีการรักษาสิวเพิ่มเติม

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำวิธีการรักษาสิวแบบอื่นๆ สำหรับผู้ที่ใช้ยาทา หรือ ยารับประทานแล้ว สิวยังไม่ดีขึ้น หรือ มีรอยแผลเป็นจากสิว ดังนี้

  • สเตียรอยด์ (Steroids): ใช้รักษาสิวรุนแรง โดยการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปที่สิวหัวนูนขนาดใหญ่ เพื่อลดการอักเสบ
  • เลเซอร์ (Lasers): เลเซอร์ และ การรักษาด้วยแสง (Light therapy) ใช้รักษาแผลเป็นจากสิว เลเซอร์จะทำการยิงแสงเลเซอร์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง กระบวนการนี้จะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง โดยการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้เกิดผิวหนังชั้นใหม่ แทนที่แผลเป็น
  • การผลัดผิวด้วยเคมี (Chemical peels): วิธีการรักษานี้ ใช้สารเคมีพิเศษ ผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นบนออก หลังจากผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นบนออกไปแล้ว ผิวหนังชั้นใหม่จะเจริญเติบโต ผลที่ได้คือ ผิวเรียบเนียน และ รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลง

หมายเหตุ วิธีการรักษาเหล่านี้ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) อาศัยอยู่บนผิวหนัง และ กินน้ำมันบนผิวหนังเป็นอาหาร ส่งผลให้เกิดการอักเสบ

ยาปฏิชีวนะบางชนิด นอกจากจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียแล้วยังมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ด้วย จึงช่วยลดรอยแดง อาการบวม และ อาการเจ็บปวด ของสิว

ยาปฏิชีวนะยังช่วย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย บนผิวหนัง ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้

อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะ

  • ไม่ใช่ยารักษาสิวให้หายขาด ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์ลดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้รักษาสิวจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ฮอร์โมน หรือ รูขุมขนอุดตัน
  • ไม่ใช่ยาที่ทุกคนเป็นสิวต้องทาน แพทย์มักแนะนำยาปฏิชีวนะ สำหรับผู้ที่มีสิวระดับปานกลาง ถึง รุนแรง หรือ กรณีที่สิวอักเสบ หรือ ติดเชื้อ
  • ใช้ระยะยาวเสี่ยงดื้อยา หากใช้ยาปฏิชีวนะนานเกินไป เชื้อแบคทีเรียอาจดื้อยา ส่งผลให้ยาฆ่าเชื้อได้ไม่ดีเท่าที่ควร

สรุป ยาปฏิชีวนะช่วยรักษาสิวได้ แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ รับประทานยาเป็นระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะรักษาได้ผล

คุณสามารถเริ่มต้นดูแลผิวเบื้องต้นที่บ้านเพื่อช่วยลดสิวได้ ดังนี้:

  1. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อน) และผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง** (สูตร Oil-freeยิ่งดี)** ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้า คุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป
  2. ล้างหน้าหลังออกกำลังกายหรือหลังจากที่มีเหงื่อ
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์,สารเคมีที่ใช้เพื่อกระชับผิว, โทนเนอร์ และผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว (Exfoliants) เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง
  4. ควรล้างเครื่องสำอางค์ออกก่อนนอน
  5. เลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตร Oil-free ทาหลังจากทำความสะอาดผิวหน้า
  6. ห้ามแกะ หรือ บีบสิว ปล่อยให้สิวแห้งและหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น
  7. วิธีการดูแลผิวเบื้องต้นที่บ้านไม่อาจรักษาสิวได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ยา รักษาสิว กับ สตรีมีครรภ์

ยา ทั้ง ยาทา และ ยารับประทาน หลายชนิด ไม่ปลอดภัย สำหรับสตรีมีครรภ์ หากคุณตั้งครรภ์ หรือ วางแผนที่จะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการรักษาสิว และแจ้งแพทย์ทันที เมื่อคุณตั้งครรภ์

ระยะเวลาในการรักษาสิว

โดยทั่วไป สิวใช้ระยะเวลา ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ในการยุบลงเอง แต่การใช้ยารักษาสิว ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู และ ลดรอยสิวได้เร็วขึ้น กรณีสิวรุนแรง อาจใช้เวลานาน หลายสัปดาห์ กว่าสิวจะหาย แม้ว่าจะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม

ป้องกันสิว

สิวอาจไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงการเกิดสิวได้ ดังนี้:

  • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรสำหรับผิวเป็นสิว (Facial cleanser) เป็นประจำทุกวัน
  • ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตร Oil-free
  • เลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (Noncomedogenic) และล้างเครื่องสำอางออกทุกครั้งก่อนนอน
  • งดการสัมผัสใบหน้าด้วยมือ

สิว เป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นได้หรือไม่?

ใช่ สิวสามารถเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นได้ โดยเกิดขึ้นเมื่อสิวอักเสบ หัวสิวฝังลึก ไปทำลายชั้นผิวหนังที่อยู่ด้านล่าง การอักเสบทำให้รูขุมขนของสิวบวม และ ผนังของรูขุมขนเริ่มเสื่อม ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็น

แน่นอนว่ารอยแผลเป็นจากสิว อาจสร้างความกังวลใจให้กับคุณได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินประเภทของรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ก่อนที่จะเลือกวิธีการรักษา ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการรักษาสำหรับรอยแผลเป็นจากสิวหลายแบบ

สิวส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างไร?

สิวส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณได้ เนื่องจากสิวส่งผลต่อรูปลักษณ์ และ ความมั่นใจในตัวเอง บ่อยครั้งที่การเกิดสิวนั้น ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ โดยเฉพาะสิวที่เกิดจากฮอร์โมน

สภาวะเช่นนี้อาจก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งส่งผลต่อการเกิดสิวในอนาคตได้ สิวอาจเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับวัยรุ่น และ วัยรุ่นตอนต้น หากสิวทำให้คุณรู้สึกวิตกกังวล หรือ ส่งผลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมกับเพื่อน และ ครอบครัว คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง หรือ นักสุขภาพจิต

ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?

  • คุณควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทันที ที่สังเกตเห็นว่ามีสิวขึ้น เพื่อเริ่มต้นการรักษา ก่อน ที่จะเกิดรอยแผลเป็น
  • หากคุณใช้ยารักษาสิว แต่ไม่เห็นผล หรือ ยารักษาสิวทำให้ผิวระคายเคือง เช่น คัน หรือ ผิวหนังเปลี่ยนสี ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

คำถามที่ควรปรึกษาแพทย์

  • ฉันเป็นสิวชนิดไหน?
  • สิวของฉันรุนแรงแค่ไหน?
  • จำเป็นต้องไปพบแพทย์ผิวหนังหรือไม่?
  • คุณหมอแนะนำยารักษาสิวแบบไม่ต้องสั่งยาสูตรไหน?
  • คุณหมอแนะนำยารักษาสิวแบบต้องสั่งยาสูตรไหน?

สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต และ ความมั่นใจ หากการรักษาสิวเบื้องต้นไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการรักษา อดทน และ ไม่แกะ หรือ บีบสิว เพื่อป้องกันรอยแผลเป็น สิวสามารถรักษาให้หายได้ ด้วยการเลือกใช้ยารักษาที่เหมาะสม

บทความแนะนำ

ติดตามพวกเราได้ที่
ME AND YOU ENTERTAINMENT CO., LTD.
เลขที่ 111 ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. 10240
แจ้งปัญหา/ฝากข่าว [email protected]
ภาพรวมเนื้อหา