Search
Close this search box.
ทฤษฎีความรัก 6 อย่าง

ทฤษฎีความรัก 6 อย่าง มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

ภาพรวมเนื้อหา

ความรัก เป็นหนึ่งในอารมณ์ที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุดของมนุษย์ นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักเขียน ต่างพยายามหาคำอธิบายความรักมาหลายศตวรรษ แต่ละคนมีมุมมองและทฤษฎีที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะมาดู ทฤษฎีความรัก 6 อย่าง ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก ของ โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg)

ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก เสนอโดย โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1986 อธิบายว่า ความรักประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้:

1. ความหลงใหล (Passion):

  • เป็นแรงดึงดูดทางเพศ ความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ โปรดปราน
  • มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์
  • อาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

2. ความสนิทสนม (Intimacy):

  • เป็นความรู้สึกใกล้ชิด ผูกพัน เข้าใจ แบ่งปันความรู้สึก
  • พัฒนาขึ้นจากการสื่อสาร แบ่งปันประสบการณ์ ร่วมกิจกรรม
  • เป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระยะยาว

3. ความผูกพัน (Commitment):

  • เป็นการตัดสินใจที่จะรักและอยู่เคียงข้างกัน
  • แสดงออกผ่านคำมั่นสัญญา การวางแผนอนาคตร่วมกัน
  • ช่วยให้ความสัมพันธ์มั่นคง ผ่านพ้นอุปสรรค

รูปแบบของความรัก:

จากองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก อธิบายรูปแบบของความรัก ดังนี้

  • Infatuation (หลงใหล): มีแค่ความหลงใหล แต่ขาดความสนิทสนมและผูกพัน
  • Liking (ชอบ): มีความสนิทสนม แต่ขาดความหลงใหลและผูกพัน
  • Empty Love (รักว่างเปล่า): มีความผูกพัน แต่ขาดความหลงใหลและสนิทสนม
  • Romantic Love (รักโรแมนติก): มีทั้งความหลงใหลและสนิทสนม แต่ขาดผูกพัน
  • Companionate Love (รักแบบเพื่อน): มีทั้งความสนิทสนมและผูกพัน แต่ขาดความหลงใหล
  • Fatuous Love (รักหลง): มีทั้งความหลงใหลและผูกพัน แต่ขาดความสนิทสนม
  • Consummate Love (รักสมบูรณ์แบบ): มีองค์ประกอบครบทั้ง 3

ทฤษฎีภาษาแห่งความรัก ของ แกร์รี แชปแมน (Gary Chapman)

ทฤษฎีนี้เสนอว่า แต่ละคนมีวิธีการแสดงออกและรับความรักที่แตกต่างกัน

มี 5 ภาษาแห่งความรัก ดังนี้:

  • คำพูด: การแสดงออกความรักผ่านคำพูด เช่น บอกรัก ชมเชย ให้กำลังใจ
  • การกระทำ: การแสดงออกความรักผ่านการกระทำ เช่น การช่วยเหลือ การบริการ
  • ของขวัญ: การแสดงออกความรักผ่านของขวัญ
  • เวลา: การแสดงออกความรักผ่านการให้เวลา เช่น การอยู่ด้วยกัน การพูดคุย
  • การสัมผัส: การแสดงออกความรักผ่านการสัมผัส เช่น การกอด การจูบ

ทฤษฎีสีแห่งความรัก ของ เอลลิส บุค (Ellis B. Beck)

ทฤษฎีสีแห่งความรัก เสนอโดย เอลลิส บุค นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1982 อธิบายรูปแบบของความรักโดยทฤษฎีนี้แบ่งความรักออกเป็น 6 ประเภทตามสี:

  • สีแดง (Red): แสดงถึงความหลงใหล เร่าร้อน ตื่นเต้น มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์
  • สีชมพู (Pink): แสดงถึงความรักโรแมนติก อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม
  • สีม่วง (Purple): แสดงถึงความรักที่ผสมผสานความหลงใหลและความโรแมนติก
  • สีฟ้า (Blue): แสดงถึงความผูกพัน อบอุ่น เต็มไปด้วยความมั่นคงและความปลอดภัย
  • สีเขียว (Green): แสดงถึงความรักแบบเพื่อน สบายใจ พึ่งพาอาศัยกัน เต็มไปด้วยความผูกพันและความเข้าใจ
  • สีเหลือง (Yellow): แสดงถึงความรักแบบครอบครัว อบอุ่น ปลอดภัย ความรักแบบไร้เงื่อนไข เต็มไปด้วยความเมตตาและความปรารถนาดี

ทฤษฎีความรักแบบโบราณ ของชาวกรีก

ทฤษฎีความรักแบบโบราณของชาวกรีก เป็นมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีที่ชาวกรีกเข้าใจและแบ่งประเภทความรัก ทฤษฎีนี้แบ่งความรักออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้:

1. อีรอส (Eros)

  • ความรักแบบโรแมนติก เต็มไปด้วยความหลงใหล ปรารถนา และดึงดูดใจ
  • มักเกิดขึ้นระหว่างคู่รัก
  • มักถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดศิลปะ บทกวี และดนตรี

2. สเตอร์กอส (Storge)

  • ความรักแบบครอบครัว เต็มไปด้วยความผูกพัน ห่วงใย และความอบอุ่น
  • เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ลูก พี่น้อง
  • เป็นความรักที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ

3. Pragma (พราจมา)

  • ความรักแบบเพื่อนสนิท เต็มไปด้วยความภักดี ซื่อสัตย์ และความเข้าใจ
  • เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนสนิท
  • เป็นความรักที่มุ่งเน้นไปที่การแบ่งปัน สนับสนุน และอยู่เคียงข้างกัน

4. อะกาเป้ (Agape)

  • ความรักแบบไร้เงื่อนไข เต็มไปด้วยความเมตตา ปรารถนาดี และความเสียสละ
  • มักเกิดขึ้นกับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
  • เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากความเห็นแก่ตัว และพร้อมที่จะมอบให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

5. ลูโดส (Ludus)

  • ความรักแบบขี้เล่น เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ร่าเริง และไร้กังวล
  • มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์
  • เป็นความรักที่เน้นไปที่การผจญภัย ความตื่นเต้น และความสนุกสนาน

6. มะเนีย (Mania)

  • ความรักแบบหลงใหลคลั่งไคล้ เต็มไปด้วยความหึงหวง ความไม่มั่นคง และความต้องการควบคุม
  • มักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่ไม่สมดุล
  • เป็นความรักที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ความก้าวร้าว และความหลงใหลจนควบคุมไม่ได้

ทฤษฎีความรักแบบโบราณของชาวกรีก ช่วยให้เราเข้าใจความรักในแง่มุมที่หลากหลาย แต่ละประเภทของความรักมีความสำคัญและมีบทบาทในชีวิตของเรา การเข้าใจทฤษฎีนี้ ช่วยให้เราสามารถระบุประเภทของความรักที่เรากำลังประสบอยู่ เข้าใจความสัมพันธ์ของเรา และสื่อสารกับคู่รักของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทฤษฎีสไตล์ความรัก ของ จอห์น อลัน ลี (John Alan Lee)

ทฤษฎีนี้แบ่งสไตล์ความรักออกเป็น 3 ประเภทหลัก และ 3 ประเภทรอง ดังนี้:

ประเภทหลัก:

  • อีรอส (Eros): ความรักแบบหลงใหล เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ดึงดูดใจ และปรารถนาที่จะใกล้ชิด
  • ลูโดส (Ludus): ความรักแบบขี้เล่น เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไร้กังวล และไม่ต้องการความผูกพัน
  • สเตอร์กอส (Storge): ความรักแบบอบอุ่น เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความผูกพัน และพัฒนาความสัมพันธ์อย่างช้าๆ

ประเภทรอง:

  • แพร็กมา (Pragma): ความรักแบบสมจริง เต็มไปด้วยความเข้ากันได้ ค่านิยมร่วมกัน และการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
  • เมเนีย (Mania): ความรักแบบครอบงำ เต็มไปด้วยความหึงหวง ความไม่มั่นคง และต้องการการยืนยันความสัมพันธ์อยู่เสมอ
  • อะกาเป้ (Agape): ความรักแบบเสียสละ เต็มไปด้วยความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ความเห็นอกเห็นใจ และยินดีที่จะเสียสละ

ทฤษฎีความรัก ของ อีริช ฟรอมม์ (Erich Fromm)

ทฤษฎีนี้แยกความรักออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้:

  • ความรักที่ไม่สมบูรณ์ (Immature Love): มักเกิดจากความต้องการ ความเห็นแก่ตัว และต้องการได้รับความรัก
  • ความรักที่สมบูรณ์ (Mature Love): มักเกิดจากความเท่าเทียม ความเคารพ และต้องการมอบความรัก

ฟรอมม์ เชื่อว่า ความรักที่สมบูรณ์นั้นจำเป็นต่อการเติบโตและความสุขของบุคคล

ทฤษฎีความรัก 6 อย่างนี้ นำเสนอมุมมองที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับวิธีที่เราสัมผัสและแสดงออกถึงความรัก แต่ละทฤษฎีมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง สิ่งสำคัญคือ ต้องค้นหาทฤษฎีที่สอดคล้องกับตัวคุณ และช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ของคุณเอง

บทความแนะนำ

คลิปบันเทิงจัดเต็ม

ติดตามพวกเราได้ที่
ME AND YOU ENTERTAINMENT CO., LTD.
เลขที่ 111 ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. 10240
แจ้งปัญหา/ฝากข่าว [email protected]
ภาพรวมเนื้อหา